Pages

Monday, August 3, 2020

"เจมส์จิ" ยิ้มหวานสู้ดราม่า "แต้ว ณฐพร" ผู้หญิงคนสำคัญเปลี่ยนชีวิต - ไทยรัฐ

bantengkabar.blogspot.com

ชาตินี้คงไม่มีวันเป็นนักแสดงที่ดีได้

แม้เส้นทางชีวิตในวงการบันเทิงของ เจมส์ จิรายุ ดูจะสดใส แจ้งเกิดได้ภายในค่ำคืนเดียว แต่เจมส์จิกลับรู้สึกเหนื่อยและคิดว่าอยากจะออกจากวงการ ไม่อยากเป็นดาราแล้ว

“ในช่วงนึงของการทำงาน เคยมีความคิดที่จะออกจากสิ่งที่ทำอยู่ อยากออกจากการเป็นดารา เพราะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ยากมากเลย และเราก็ทำได้ไม่ดีซะที เคยมีความคิดว่าชาตินี้ก็คงไม่มีทางที่จะเป็นนักแสดงที่ดีได้

ความคิดนี้มันเกิดขึ้นตอนตั้งแต่เล่นละครเรื่องแรก แต่ก็รู้สึกแบบนี้ทุกครั้งเวลาที่ได้ทำอะไรใหม่ๆ แรกๆ แล้วยังทำมันไม่ได้ มันจะมีความคิดลบๆ แบบนี้เกิดขึ้น ไม่อยากทำเลย เพราะมีบางวันที่ต้องไปถ่ายละครแล้วอยากยกซีนนี้ออก ภาวนาให้ฝนตกเพื่อที่จะได้ยกและไปถ่ายวันอื่น เพราะผมไม่พร้อมที่จะเล่นซีนนั้น แต่คิดในใจนะ (หัวเราะ)

และคิดว่าอีกวันกลับมาน่าจะเล่นได้ อารมณ์น่าจะพร้อม และก็มีบางครั้งที่ฝนตกให้เราจริงๆ (ยิ้ม) หรือถ่ายไม่ทันจริงๆ จนต้องยกไปอีกวันนึง แต่พอมาอีกวันก็ยังคงมีความรู้สึกเดิม (หัวเราะ) สุดท้ายก็ต้องยอมรับว่า เราก็ต้องทำ ต่อให้เรายังทำได้ไม่ดี เราก็ต้องทำ

สิ่งที่ทำให้ผมกลัวส่วนใหญ่จะเป็นฉากดราม่า บทพูดยาวๆ แสดงอารมณ์ ซึ่งผมจะมีไม้บรรทัดของตัวเองว่าจะต้องเป็นแบบนั้นเป็นแบบนี้ เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ถ้าทำได้เหมือนในหนังที่ดูมันคงจะดีมากๆ เลย แต่ตอนนั้นแค่พูดไม่รัวก็โอเคแล้ว (ยิ้ม)

ก่อนไปผมจะทำการบ้าน มีภาพการแสดงของตัวเองที่วาดเอาไว้ แต่พอไปถึงหน้ากองแล้วรู้สึกว่า น่าจะเล่นไม่ถึงภาพที่ตั้งเอาไว้ บวกกับความสามารถของตัวเองในตอนนั้นด้วย (หัวเราะ)

ด้วยความตื่นเต้นและความกดดัน และความกลัว มันคือสิ่งที่มีปัญหาที่สุดสำหรับงานศิลปะ การแสดงมันคืองานศิลปะจริงๆ และผมก็ได้ยินเค้าพูดกันมานาน แต่ตอนนั้นผมก็คิดว่าก็เล่นๆ ไป ไม่เข้าใจว่าการแสดงคืออะไร แต่ตอนนี้เข้าใจแล้ว เราต้องปล่อยให้มันสบายๆ ทิ้งทุกอย่างที่กังวล”

ทางสว่างจาก แต้ว ณฐพร และ อ๊อฟ พงษ์พัฒน์

เพราะความเป็นเด็กอยากรู้ หรือที่ เจมส์ เรียกตัวเองว่า “ขี้เสือก” จึงทำให้เจมส์ไม่หยุดที่จะหาคำตอบที่ตัวเองอยากรู้ให้ได้ และก็ใช้สกิลคาแรกเตอร์ความซนที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองเนียนๆ เข้าไปถามเรื่องการทำงานจาก แต้ว ณฐพร พี่สาวคนที่สนิท และ อ๊อฟ พงษ์พัฒน์ ผู้กำกับฝีมือดี ซึ่งตอนที่เจมส์จิเล่าถึงเรื่องนี้ สายตาของพระเอกหนุ่มดูเป็นประกายและมีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองได้รับมา

“ผมเคยถามเคล็ดลับการทำงานกับพี่แต้วจนเค้ารำคาญ ถามว่าเค้าร้องไห้ยังไง ทำไมอยู่ดีๆ ร้องไห้ได้เลย คนบ้าอะไร หลับตา 10 วินาทีแล้วร้องไห้ได้ เค้าเลยบอกว่า ถ้าเรายิ่งคิด เราก็จะไม่มีวันทำมันได้ เพราะว่ามันเป็นความคิดของเรา แค่ถ้าเราสละตัวเองออกไปได้ และเข้าไปอยู่ในสิ่งที่เราทำมันจะดีและเกิดเซอร์ไพรส์ของงานศิลปะการแสดงออกมา ซึ่งผมก็ยังทำไม่ได้อยู่ดี 

ตอนนี้ผมก็ยังไม่เก่ง แต่ก็ตั้งใจทำเพราะความอยากจะเอาชนะมัน และความขี้เสือกของตัวเอง ไปถามทุกคนที่ได้ร่วมงานด้วยไปเรื่อย ว่าเล่นยังไง ทำยังไง นอกจากพี่แต้ว พี่อ๊อฟ พงษ์พัฒน์ ก็เป็นอีกคนที่ผมชอบไปเกาะแกะและขอวิชาความรู้มา เวลาทานข้าวที่กองทั้งตอนกลางวันและตอนเย็น ผมจะจองนั่งข้างๆ พี่อ๊อฟ แล้วถามว่าเล่นยังไงให้ดีขึ้นครับ มีอะไรบ้างครับ ก็ค่อยๆ ถามเพื่อให้ได้คำตอบที่อยากจะได้จนได้

ส่วนเรื่องกรงกรรม กับตัวละครอาซา ที่หลายคนบอกว่าผมทำได้ดี ด้วยความที่บรรยากาศเวลาที่พี่อ๊อฟกำกับ เค้าจะมีความเชื่อว่า ไม่อยากให้นักแสดงเป็นกังวลหรือว่าเกร็ง เค้าก็เลยพยายามไม่บรีฟตัวละครเท่าไร จะทำการบ้านตั้งแต่ตอนแรก ที่นั่งคุยกัน บอกว่าตัวละครมันควรเป็นอย่างนี้ตั้งแต่วันที่นั่งอ่านบทด้วยกันกับนักแสดงหลายๆ คน ก่อนที่จะเปิดกล้อง

และวันที่ถ่าย ตอนที่ผมไปเจอเค้าแทบจะไม่บรีฟเรื่องเล่นละคร ไม่บรีฟเรื่องการแสดงอะไรเลย แค่อธิบายคร่าวๆ หลังจากนั้นก็คุยเล่น ดินฟ้าอากาศ จนเราลืมเรื่องการแสดงไป จนเข้าฉากก็ไม่มีความกังวลอะไร พอเข้าฉากก็ไม่มีอะไรในหัว ปล่อยวางจนทำให้ตัวละครนั้นเข้ามาอยู่ในหัวเรา"

จากบทอาซา ชายหนุ่มที่มองโลกในแง่ดี ไม่มีพิษมีภัยกับใครในละครเรื่องกรงกรรม ทำให้หลายคนเชื่อแล้วว่า เจมส์ จิรายุ ไม่ได้มีดีแค่หน้าตา ซึ่งเจมส์จิก็ได้ตอบคำถามนี้แบบถ่อมตัวและน้ำเสียงนุ่มนวลในสไตล์ของตัวเองว่า

"ต้องยกความดีความชอบนี้ให้กับอาจารย์หลายๆ ท่านเลยที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เพราะผมเชื่อว่ามันไม่ใช่แค่คลิกเดียวแล้วผมจะทำได้ แต่มันต้องอาศัยการสั่งสอนและการทุบตีจากหลายๆ คนจนน่วมมา และเมื่อได้มาเจอพี่อ๊อฟ พงษ์พัฒน์ ก็เหมือนได้ใส่ปุ๋ย มันก็เลยงอกงามขึ้นได้เร็ว ผมโชคดีที่ได้เจอ และได้ไอเดียมาใช้ในการทำงานได้เยอะ"

แม้จะเคยมีความคิดที่อยากจะออกจากการเป็นดารา แต่สุดท้ายเจมส์จิก็ได้เปลี่ยนความรู้สึกของตัวเอง หลังจากที่ได้ลองผิดลองถูกทำงานสะเปะสะปะมาหลายอย่าง ผ่านบททดสอบชีวิตจนทำให้ตอนนี้เริ่มแข็งแกร่งขึ้นมาบ้าง ซึ่งเจมส์จิเล่าถึงเรื่องราวของตัวเองในช่วงนี้ด้วยน้ำเสียงที่จริงจังและรอยยิ้มที่บาดใจ

“ตอนนี้ผมรู้สึกสนุกกับการทำงานแล้ว เพราะมีจุดหมายที่มองต่างไปจากเมื่อก่อน ตอนนี้มองการเล่นละคร คืองานศิลปะ ยอมรับในช่วงแรกๆ เป็นเด็กบ้านนอก ถูกเลือกให้ทำงานตามที่ผู้ใหญ่เลือกให้ อยากให้ทำอะไร ไม่ได้เสนอไอเดียความคิดของตัวเอง ผู้ใหญ่ให้ทำอะไรก็ทำหมด ลองผิดลองถูกทำมาหมด สะเปะสะปะมาหลายอย่าง จนในวันนึงก็ได้ค้นพบว่าตัวเองชอบอะไร”

7 ปีกับชีวิตที่เปลี่ยนไปมาก

เจมส์จิ คุยกับเราถึงชีวิตในวงการบันเทิง 7 ปีด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป ดูจริงจังมากขึ้น เขาบอกว่าตัวเองเคยหาคำตอบให้กับเรื่องนี้จนได้คำตอบที่ใช่ที่สุดว่าสำหรับตัวเองแล้วว่า

“ตลอด 7 ปีชีวิตผมเปลี่ยนไปเยอะมากๆ ในด้านการทำงานก็เข้าใจในเรื่องของการทำงานมากยิ่งขึ้น แต่ก็ยังไม่คิดว่าตัวเองโตกว่าวัยนะ เพราะผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนอายุประมาณนี้เค้าเป็นกันแบบไหน ซึ่งผมก็เคยหาคำตอบด้วยนะครับ ด้วยการคุยกับเพื่อน ว่าตอนนี้ทำอะไรกันอยู่ และคิดยังไงกันอยู่ ทำไมเค้าไม่คิดเหมือนเรา

จนสุดท้ายก็ได้คำตอบว่า จริงๆ มันไม่ใช่สาระสำคัญรึเปล่าที่เรานั่งคุยกัน บางทีในแบบทุนนิยมที่เราเป็นอยู่ บางคนอาจจะคิดว่า เราจำเป็นจะต้องวางแผนชีวิต ต้องหาเงินทำนั่นทำนี่ มีบ้านมีรถ หรืออะไรก็แล้วแต่

แต่จริงๆ แล้วสิ่งนั้นไม่ใช่ความสุขของปัจเจกบุคคล ก็เลยได้คำตอบว่า ชีวิตไม่ต้องมีแบบแผนแบบนั้นเลยก็ได้ เพราะความสุขมันไม่ใช่วัตถุหรือว่าสิ่งที่คนส่วนใหญ่คิดว่ามันควรจะมี....แหนะ จะทำเสียงหล่อไปไหนเนี่ย” เจมส์จิ ตบท้ายเรื่องนี้ด้วยการแซวตัวเองแก้เขิน 

“ผมเคยอ่านในหนังสือแล้วคิดว่าเราเห็นด้วยกับคำนี้ คือเค้าบอกว่าความสุขมิอาจเจอได้ด้วยการแสวงหา มันอยู่ในระหว่างทางครับ ในการที่เราไปทำอะไรสักอย่าง หรือทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วเราบังเอิญได้เจอความสุข อันนั้นคือความสุข แต่ถ้าเราตั้งเป้าหมายคาดหวังว่าเราจะเจอความสุขให้ได้ บางทีมันอาจจะยากไป การได้ทำอะไรบ้าๆ บอๆ ไปเรื่อยๆ แบบนี้แหละครับทำให้ผมเจอความสุขระหว่างทางได้แล้ว”

เจมส์ จิรายุ หยุดพักดื่มน้ำ หลังจากที่พูดเรื่องราวต่างๆ ให้ได้ฟัง ยังไม่ทันจะได้กลืนน้ำลงคอดี พระเอกหนุ่มก็ส่งสัญญาณให้เราเริ่มคำถามต่อไปจะได้ไม่เสียเวลา 

เราจึงถามถึงเรื่องราวความดราม่าตลอด 7 ปีในวงการบันเทิง เจมส์จิพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ ว่า "ผมเจอดราม่ามาตลอดเลย" และ "คนที่ด่าผมก็ไม่ใช่ใคร แฟนๆ ผมนี่แหละ" ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

ไม่นิยมสร้างกระแสให้ตัวเอง

“ผมทำไม่เป็น” เจมส์จิตอบสั้นๆ พร้อมกับยิ้มละมุนแล้วบอกว่า น่าจะเป็นเพราะความขี้เกียจของตัวเองมากกว่า และไม่ได้อยากจะมีดราม่าในชีวิตของตัวเอง พร้อมยกตัวอย่าง ขนาดโซเชียลยังไม่อยากจะเล่น จนทำให้ต้องถูกด่า และคนที่ด่าก็มีแต่แฟนคลับของตัวเองทั้งนั้น พร้อมตัดพ้อว่า ชีวิตของตัวเองนั้นเศร้านัก ถูกด่าเพราะไม่ค่อยลงรูปตัวเอง แม้จะคิดเปลี่ยนแปลงแล้ว แต่ก็ทำไม่ค่อยได้ 

“เพราะผมกลัวดราม่า” ในช่วงโควิด-19 เจมส์จิบอกว่า ก็ถูกบางคนต่อว่า ที่ไม่ยอมลงรูปหรือให้ข้อมูลว่าตัวเองได้ไปช่วยเหลืออะไรที่ไหนมาบ้าง ซึ่งเจมส์จิอธิบายต่อแบบไม่ต้องให้เราได้ถามว่า เพราะรู้ตัวเองดีว่าไม่ได้ช่วยทำอะไรมากมายเท่าไร แค่ติดต่อประสานงานเพื่อขอสิ่งของมาแจกจ่ายตามสถานที่ต่างๆ ก็เท่านั้น ได้ช่วยเหลือนิดๆ หน่อยๆ เท่าที่ตัวเองจะทำได้ก็เท่านั้นเอง 

“ไม่ชอบความดราม่า เดี๋ยวมันเศร้า” จากนั้น เจมส์จิก็เล่าต่อว่า ตัวเองไม่ชอบความเศร้าในชีวิตจริง แต่ในชีวิตจริงกลับมีเรื่องดราม่าเข้ามาตลอด ตั้งแต่เรื่องฉายาซุป'ตาร์เทวดา ซึ่งเรื่องนี้เจมส์จิจำได้ดีไม่เคยลืม ก่อนจะยอมรับแบบไม่อายว่า

ตอนแรกไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉายานี้คือถูกตั้งขึ้นเนื่องจากถูกด่า เพิ่งจะมารู้ในช่วงหลังๆ ด้วยการนั่งวิเคราะห์ของตัวเองว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร ตอนนั้นไม่ได้สนใจ เพราะแค่ได้นอนพักก็เป็นบุญแล้ว แต่ทุกเรื่องดราม่าที่เกิดขึ้นเจมส์จิไม่เคยคิดจะเอากลับมาให้ติดค้างในใจของตัวเอง หรือเก็บมาคิดนาน ต้องปล่อยผ่านทุกอย่างไปให้เร็วที่สุด แต่ทุกเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิตทั้งดีและแย่นั้น มันได้สร้างมุมมองของชีวิตที่เปลี่ยนไปให้กับผู้ชายคนนี้

เมื่อถูกถามถึงการวางตัวเองในวงการบันเทิงไว้อย่างไร จะต้องมีชื่อเสียง หรือเป็นพระเอกซุป'ตาร์ดาวค้างฟ้า เจมส์ จิรายุ บอกด้วยน้ำเสียงจริงจังและตั้งใจอีกครั้งว่า "ผมมีความหวังและตั้งใจว่าอยากจะได้รางวัลเกี่ยวกับการแสดงสักรางวัลให้เป็นของขวัญตัวเองจากการทำงาน ส่วนเรื่องบทบาทการแสดงก็อยากจะลองเล่นทุกบทบาท เพราะมีความเชื่อว่าในทุกบทบาทจะมีแง่มุมของตัวละครที่ซ่อนอยู่ให้เราเอามาปรับใช้ได้ในชีวิต"

เพราะวัฏจักรในวงการบันเทิงของไทยมีการแข่งขันกันสูงมาก เด็กหน้าใหม่แจ้งเกิดในวงการทุกวัน มีคลื่นลูกใหม่ที่จะเข้ามาแทนที่คลื่นลูกเก่า เจมส์จิได้พูดถึงเรื่องนี้ด้วยท่าทีที่สบายๆ ไม่มีความกังวลใจในเรื่องนี้เลยว่า "เมื่อถึงวันที่จะต้องเปลี่ยน ก็ไม่ได้ยึดติดอะไร เพราะมองว่าสิ่งที่ทำนั้นคืองานศิลปะ ทำให้ดีที่สุดแค่นั้นเอง ถ้าทำงานได้ดี เล่นละครได้ดี ก็อยู่ได้ จะดังกว่าเดิมหรือไม่ดังเหมือนเดิมก็ได้ แต่ใจหลักสำคัญคือต้องทำงานของเราให้มันดี แค่นี้ก็เติมเต็มความสุขได้แล้ว"

จากวันแรกที่เคยได้สัมภาษณ์พระเอกหนุ่ม เจมส์ จิรายุ เด็กหนุ่มอายุ 19 ปี ที่ยังเป็นเด็กใหม่ใสกิ๊งของวงการบันเทิง จากวันนั้นจนถึงวันนี้ 7 ปีมาแล้ว เรารู้เลยว่าวิธีคิดและมุมมองชีวิตของพระเอกคนนี้ได้เปลี่ยนไปมาก

การทำงานที่หนักหน่วงทำให้วิธีการคิด การทำงาน และการมองโลกของเจมส์จิเปลี่ยนไปมาก ทุกประสบการณ์ในชีวิตได้ขัดเกลาเด็กหนุ่มในวันนี้ให้ดูโตเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่ได้มีดีแค่หน้าตา และเราเอาใจช่วยให้ เจมส์ จิรายุ ได้ก้าวไปให้ไกล คว้ารางวัลจากงานแสดงสักชิ้นเป็นของขวัญให้ตัวเองจากการทำงาน.

Let's block ads! (Why?)



"ในตอนแรก" - Google News
August 04, 2020 at 07:30AM
https://ift.tt/3hY958S

"เจมส์จิ" ยิ้มหวานสู้ดราม่า "แต้ว ณฐพร" ผู้หญิงคนสำคัญเปลี่ยนชีวิต - ไทยรัฐ
"ในตอนแรก" - Google News
https://ift.tt/2AnIstz

No comments:

Post a Comment